บันเทิง
กว่าจะมาเป็นพระเอก "ไมค์ ภัทรเดช" เล่าชีวิต น้ำตาไหลเผยสาเหตุเคยคิดสั้น!!

กว่าจะมาเป็นพระเอก "ไมค์ ภัทรเดช" เล่าชีวิต น้ำตาไหลเผยสาเหตุเคยคิดสั้น!!

กว่าจะมาเป็นพระเอก

พระเอกหนุ่ม ไมค์ ภัทรเดช เปิดใจในรายการ ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ กับเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็นพระเอก และมีวันนี้ ร้องไห้เมื่อต้องพูดถึงช่วงหนึ่งของชีวิตที่เคยคิดสั้นในรายการ TurningPoint EP.1 : เกือบไม่มีพระเอกชื่อ ไมค์ ภัทรเดช

หนุ่ม "ไมค์ ภัทรเดช" เปิดใจว่า โตมาด้วยความที่หน้าตามันก็ใช้ได้เนอะ ตั้ง แต่เด็กแล้ว จริงๆ เราเป็นคนขี้อาย เราไม่ได้อยากเป็นดารา แต่ในจิตลึกๆ ใครไม่อยากเป็นดาราออกหน้าทีวี ดูเป็นพระเอก จนอายุ 16 มีคนมาชวนไปประกวดดัชชี่บอย ก็ไปประกวด แล้วได้ที่ 1 ของภาคอีสาน แล้วมาประกวดที่กรุงเทพฯ ได้ที่ 3 และได้เข้ามาอยู่ในสารบบของวงการบันเทิงแป๊บนึง ก็มาเจอเรื่องราวที่มันไม่ใช่


ผมไม่ได้เกลียดกะเทยนะ มีเพื่อนกะเทยเยอะมาก และรักเขามาก เพราะเขาเป็นคนที่สนุกมาก แต่คนที่พาเรามาประกวดดัชชี่มันเป็นอีกแบบหนึ่ง ด้วยความที่เราเป็นเด็กมีความฝันและเขาเป็นคนพาเราไปเขาต้องการอะไรที่มากกว่านั้น เป็นด่านแรกที่เราต้องผ่านก่อนที่เราจะเป็นพระเอก


(หัวเราะ) ด่านแรกที่เราต้องเจอ คือเราต้องให้เขากินก่อน เขาจะกินเรา เขาจะกินของเรา (หัวเราะ) ตอนแรกก็เป็นพี่น้องกัน เรารักเขามาก คือผมเป็นเด็กบ้านนอก ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่อยู่ดีๆ วันหนึ่งจะมาทำอย่างนั้นกับเรา เราก็เลยตัดเขาไปเลย ตอนนั้นอยู่ ม.5 ถ้าจะต้องไปเป็นพระเอกแล้วต้องเจอแบบนี้ก็เลยตัดทิ้งไปเลย ก็กลับไปเรียนหนังสือ ไปเรียนที่จีนจนอายุ 21 ปี


ผมเติบโตมาด้วยชีวิตอิสระมาก เรามีฐานะค่อนข้างดี ขายอะไหล่แต่งรถมอเตอร์ไซค์ในท้องถิ่น เงินในเก๊ะมีเยอะมาก จนวันหนึ่งเราโตขึ้นมาตอนนั้นเรียนอยู่ที่จีน ก็ขอเงินแม่ ซึ่งปกติแม่เป็นคนที่โอนเงินไวมาก โทรปุ๊บโอนปั๊บ


เราใช้เงินอิสระมาก แม่โอนให้ตลอด แต่ครั้งนี้แม่โอนช้าไป 1 อาทิตย์ เลยโทรไปถามแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เล่ามาเลย และแม่ก็บอกว่า แม่ไม่มีเงิน ล้มละลาย เพิ่งเลิกกับพ่อ เพิ่งหย่ากัน


แม่คงกลัวว่าผมจะเครียด แต่ผมบอกแม่ว่าไม่เป็นไร เทอมแรกเขามีสอบชิงทุนและผมสอบได้ ได้เงินเดือนละ 5 พัน ผมใช้เดือนละ 5 พันก็ได้ ก็บอกให้แม่ดูแลตัวเอง เดี๋ยวผมกลับไปผมจะดูแลแม่เอง เป้าหมายเดียวในชีวิตตอนนั้นคือผมจะต้องดูแลแม่ผมให้ได้


พอกลับผมได้เจอคนที่ผมรักมาก และผมได้ฝากชีวิตไว้กับเขา และเขาได้แนะนำผมให้รู้จักกับคนๆ หนึ่งที่เขาจะพาผมไปสู่ดวงดาว เป็นผู้จัดการดาราใหญ่มาก แต่พอไปเจอพี่เขาให้เราไปรับที่ห้าง เขาพาดาราเขาไปทำงาน พอรับเขาไปส่งก็ช่วยเขาขนของ พอขนของเสร็จผมก็จะกลับแต่เขาชวนให้ไปคุยกันก่อน


เขาก็ขอให้ผมตอนเสื้อ เขาขอดูหุ่นจะเป็นดารารูปร่างต้องเป็นยังไง พอถอดเสร็จก็ให้ถอดกางเกง และผมก็ถอดเพราะเขาบอกว่าอยากดูต้นขา เพราะดาราบางคนขาใหญ่ บางคนขาเล็ก ใส่ยีนส์อย่างไรจะได้เหมาะ


ตอนนี้รู้สึกว่ามันมีความจะเป็นไปได้ตามที่เขาพูด ดูเสร็จเรียกให้ไปนั่งบนเตียงกับเขา มานั่งคุยกัน พูดแล้วอยากต่อยหน้าตัวเอง ว่าทำไมถึงอยากเป็นดาราขนาดนั้น ตอนนั้นรู้แล้วว่าเขาจะทำอะไร แต่เรากลับไปนั่ง แต่โชคดีที่ศักดิ์ศรีมันใหญ่พอ


พอเขาถอดเสื้อเขา ผมก็เลยลุก และถามเขาว่า การจะเป็นพระเอก เป็นดารา ต้องทำแบบนี้ทุกคนมั้ย เขาบอกว่าแล้วแต่จะตกลงกัน ก็เลยตัดสินใจว่าจะเป็นดาราแล้ว เลยเปลี่ยนความฝันว่าจะไปเป็นนักธุรกิจ


ใกล้จบก็ไปฝึกงานที่กรุงเทพฯ เป็นผู้จัดการคนก่อนหน้านี้ เขารักเรามาก พอเขาพูดแบบนี้ก็รู้สึกกลัวขึ้นมา แต่เขาเป็นผู้หญิงก็เลยลองดูอีกสักครั้งว่ามันเป็นยังไง พอเรียนจบก็มีโอกาสที่จะได้ทำงานในวงการบันเทิง มีแพลนเรียนต่อ และมีงานที่อู่เรือที่จีน เงินเดือนสตาร์ต 3 หมื่น แต่เลือกทำงานในวงการบันเทิง


เหตุผลที่เลือกมันบ้ามาก ตอนที่อยู่ขอนแก่น มีหลายคนที่ได้เข้าวงการบันเทิง และเราก็เป็นอีกคนที่คนในขอนแก่นก็รู้จัก ทุกคนทำได้ เราก็ต้องทำได้ 3 หมื่นไม่เอา แต่จะเป็นเหมือนเขา แต่ 3 ปีที่บอกว่าจะดูแลแม่ตัวเองไม่ไปถึงไหนเลย แล้วมันทุกข์และเครียดของชีวิตมาก


เราตัดสินใจเลือกทางนี้เพราะว่ามันเป็นทางเดียวที่จะดูแลแม่ได้ 3 ปีผ่านไปยังวนเวียนกับการเดินแบบอยู่เลย แต่ก็ได้เล่นละครอยู่เรื่องหนึ่ง และคิดว่าละครเรื่องนี้ที่จะพาเราไปให้ได้เหมือนคนอื่นเขา


ถ่ายอยู่ 1 ปี 3 เดือน ได้เงินค่าตอน 8 พันบาท คูณ 15 ได้มา 2 แสนกว่าบาท เฉลี่ยต่อเดือนแล้วเงินไม่เหลือเลย ตอนนั้นคิดว่ามันจะง่าย แต่พอเข้ามาแล้วมันไม่ง่ายเลย


ไปดูเฟซบุ๊กเพื่อนที่เรียนที่จีนด้วยกันบางคนทำธุรกิจส่วนตัวแล้ว นำเข้าส่งออกจนรวย บางคนไปเรียนต่อมีชีวิตที่ดี แล้วก็อิจฉา และเครียดมากว่าตัวเองคิดผิดหรือคิดถูก


แล้วผู้จัดการก็ส่งผมไปเรียนบำบัดจิตกับครูเงาะ ก็เริ่มมีความสุขขึ้น ก็เริ่มทำงานเก็บเงินได้ มีความคิดที่ดีขึ้น มองโลกในแง่บวกมากขึ้น ทำงานเก็บเงินจนได้ 280,000 บาท ก็คิดถึงแม่ ซื้อคอนโดไปเหลือเงิน 4 หมื่นแล้วแม่ก็มาอยู่ด้วยจนถึงวันนี้


ในระหว่างทางที่รอเงินจากการถ่ายละครก็ต้องขอบคุณผู้จัดการของเรา พี่กบ เขาน่ารักมาก ทุกวันนี้ก็ยังรักเขาแต่ไม่ได้ดูแลกันด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ใช่เงินทอง แต่เรารักเขามา


ชีวิตพี่กบมีขึ้นมีลง ตอนที่ชีวิตเขาลงเขาก็ขายรถเขา เขาก็เหลือรถคันเล็กไว้ แล้วตัวเองนั่งแท็กซี่ไปทำงานและทิ้งรถคันนั้นไว้ให้ผมขับไปเล่นฟิตเนส ไปเรียนการแสดง พี่กบออกไปทำงานแต่เช้า ทิ้งเงินไว้ให้ผมวันละ 500 บาท ผมจำได้ ผมไม่เคยลืม เป็นช่วงเวลาที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะเกิดหรือเปล่าแต่พี่กบก็ยังมีความหวังในตัวผม


เคยอยากฆ่าตัวตาย ไม่เคยมีใครรู้ว่าชีวิตผมผ่านอะไรมาเยอะมาก (ร้องไห้) ไม่อยากพูดถึงมัน เราเป็นคนมองโลกในแง่บวก ไม่อยากคิดถึงอะไรที่มันผ่านมาแล้ว พยายามที่จะผ่านมันไป ในวันที่เครียดมันเครียดมาก รักแม่แต่ยังไปไม่ถึงไหน ปัญหาครอบครัวก็ยังใหญ่อยู่


เคยมีความคิดนั้นอยู่แล้ว คอนโดอยู่ชั้น 26 ทำงานก็ไม่โตเลยแล้วใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ละครเรื่องหนึ่งถ่ายหลายเดือน ก็นั่งกินเหล้าอยู่ริมระเบียงเกือบทุกวัน มองลงไปมีสระน้ำกระโดดลงไปคงไม่ตายหรอก ทั้งๆ ที่จริงๆ อยากตาย แต่ไม่เคยให้แม่รู้ เครียดมาก แต่ก็ไม่ทำเพราะมีแม่อยู่


จนวันหนึ่งทำงานเหนื่อยมาก นั่งกินเหล้าอยู่ระเบียง มองผ่านไปในห้องเห็นแม่กำลังเตรียมน้ำผลไม้ให้เราไปกอง แม่ไปกองกับเราทุกวัน คืนนั้นที่เห็นแม่นั่งเตรียมของให้ พลังงานเปลี่ยน มีสติมากขึ้น เราอยู่เพราะแม่และแม่ก็ไม่เห็นทุกข์เลย มีความสุขด้วย แม่ยิ้ม ตั้งแต่วันนั้นงานก็มาเรื่อยๆ หลังจากละครเรื่องใยกัลยา ชีวิตผมดีขึ้นเรื่อยๆ เลย


ก่อนจะมีโควิด ผมมีแพสชันเยอะมาก จะทำนู้นทำนี่ แต่พอมีโควิดมันกลายเป็นความเคยชิน ผมไม่ทำอะไร อยู่ดีๆ หมดไฟ ปุ๊กลุกเอาดาบมาแทงผมทะลุหลังเลย โควิดเริ่มซาแต่ผมไม่ทำอะไร แต่เขากลับลึกขึ้นมาทำนู้นนั่นนี่เยอะแยะ แล้วก็มานั่งคุยกัน เขาถามว่า เธอจะเอาแค่นี้ใช่มั้ยชีวิต เธอพอใจแล้วใช่มั้ย เธอไม่ใช่คนแบบนี้นะ


เป็นธรรมชาติของมนุษย์ คนไกลตัวเขาก็ไม่กล้าพูดกับเรา ต่อให้เราดีหรือเลวมันไม่ส่งผลกับเขา แต่คนใกล้ตัว มันเห็นกันอยู่ในสายตา เรารักเขา เราอยากเห็นกันได้ดี ตอนนั้นผมก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ก็นอนไม่หลับ หลังจากนั้น 3 วัน ผมไม่มีเวลาให้เขาเลย ผมกลับลำเร็วมาก ผมไม่พูดแต่ผมทำ ผมกลับมาแล้วจริงๆ เรื่องหน้าจะเป็นผู้จัดและเล่นเป็นพระเอกเองด้วยแล้วจะให้ปุ๊กลุกมาเป็นนางเอก (หัวเราะ)


ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ เผยเหตุผลที่พูดแรงๆ กับไมค์ในวันนั้น เพราะตัวเองอยู่ในภาวะที่เขาเป็น แต่เขาก็เป็นคนเตือนสติเราในวันนั้น บอกว่าถ้าวันหนึ่งตายไปแล้วทำได้แค่นี้โอเคมั้ย วันนั้นเราก็คิดได้เลย เราเป็นห่วง ก็เลยพูดกับเขาบ้างว่าต้องลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าง


แต่วันนั้นรู้ว่าต้องพูดแรงๆ เอาแบบเกลียดกันไปเลยก็ได้ ไม่มองหน้ากัน ก็คิดว่าคงเลิกคุยกันไปแล้ว แต่ก็คิดว่าตัวเองพูดแรงเกินไป แต่มีเจตนาที่ดี แต่ก็พยายามบอกเขาว่าที่พูดมาทั้งหมดผลประโยชน์ทุกอย่างอยู่ที่เขานะ วันรุ่งขึ้นงานยุ่งเลย ไม่มีเวลาคุยกัน (ยิ้ม)



ภาพจาก : ยูทูบ Fonthip Watcharatrakul


ภาพจาก : ยูทูบ Fonthip Watcharatrakul


ภาพจาก : ยูทูบ Fonthip Watcharatrakul


ภาพจาก : ยูทูบ Fonthip Watcharatrakul


ภาพจาก : ยูทูบ Fonthip Watcharatrakul


ภาพจาก : ยูทูบ Fonthip Watcharatrakul


ภาพจาก : ยูทูบ Fonthip Watcharatrakul


ภาพจาก : ยูทูบ Fonthip Watcharatrakul


ภาพจาก : ยูทูบ Fonthip Watcharatrakul




ข้อมูลจาก : ยูทูบ Fonthip Watcharatrakul

ข่าวที่คุณอาจสนใจ
TOP NEWS
  • TODAY
  • WEEK
  • MONTH