ข่าวออนไลน์
"หมอบุ๋ม" แถลง ติดเชื้อใหม่ 1 ราย ใน State Quarantine

"หมอบุ๋ม" แถลง ติดเชื้อใหม่ 1 ราย ใน State Quarantine

ศบค.เผยวันนี้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 1 ราย เป็นนศ.กลับจากซาอุฯ ใน State Quarantineไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม



วันนี้ (30 พ.ค.63) พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์ในประเทศไทย ว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,077 ราย มีผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วรวม 2,961 ราย และยังมีผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 59 ราย ขณะที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมคงเดิมที่ 57 ราย

สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย กลับมาจากประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นเพศชาย อายุ 26 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัย อัล-ญฟ (มาด้วยกัน 6 คน) เดินทางจากกรุงริยาด-กัวลาลัมเปอร์ แล้วเดินทางเข้าประเทศไทยทางด่านปาดังเบซาร์ โดยรถบัสถึงวันที่ 25 พ.ค. 63 เวลา 8.00 น. (39 คน) เข้า State Quarantine จ.นราธิวาส ตรวจครั้งที่ 1 วันที่ 25 พ.ค. 63 ผลไม่พบเชื้อ วันที่ 28 พ.ค. 63 มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หายใจลำบาก ตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 28 พ.ค. 63 ผลพบเชื้อเข้ารับการรักษา รพ.นราธิวาส

พญ. พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 1 คน จาก State Quarantine ใน จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นนักศึกษาชายไทย อายุ 26 ปี เดินทางกลับจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,077 คน จำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วรวม 2,961 คน และยังมีผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 59 คน ขณะที่วันนี้ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมคงเดิมที่ 57 คน

"ผู้ป่วยรายใหม่ 1 คนนี้ กลับมาจากซาอุฯ เป็นเพศชาย อายุ 26 ปี เป็นนักศึกษาไทยจากมหาวิทยาลัยอัลญูฟ เดินทางกลับมา 6 คน จากกรุงริยาดมาถึงมาเลเซีย แล้วเดินทางเข้ามาประเทศไทยผ่านด่านปาดังเบซาร์โดยรถบัส เข้าพักใน State Quarantine ใน จ.นราธิวาส ตรวจเชื้อครั้งแรกวันที่ 25 พ.ค.ไม่พบเชื้อ จากนั้นวันที่ 28 พ.ค. มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หายใจลำบาก จึงตรวจซ้ำอีกเป็นครั้งที่ 2 วันที่ 28 พ.ค. พบว่าติดเชื้อ จึงเข้ารักษาที่ รพ.ใน จ.นราธิวาส ส่วนคนอื่นที่เดินทางมาพร้อมกับรถบัสคันนี้ กำลังตรวจเพิ่มเติมว่ามีการติดเชื้อด้วยหรือไม่" ผู้ช่วยโฆษก ศบค.กล่าว

พร้อมระบุว่า นับตั้งแต่การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในระยะที่ 2 เมื่อวันที่ 17 พ.ค. จนถึงปัจจุบัน พบว่ามียอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 52 คน ซึ่งจำนวนผู้ป่วยส่วนใหญ่ถึง 43 คน หรือคิดเป็น 80% จะอยู่ใน State Quarantine โดยมีเพียง 9 คนเท่านั้นที่เป็นผู้ป่วยติดเชื้อจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้า

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศเริ่มลดลง แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่สามารถจะลดการ์ดลงได้ เพราะในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ จะเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 3 ให้แก่กิจการและกิจกรรมบางประเภทเพื่อเริ่มกลับมาเปิดให้บริการได้ จึงยังต้องขอความร่วมมือประชาชนทุกคนในการปฏิบัติตัวตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดอย่างเคร่งครัดต่อไป

"จากการระบาดอย่างหนักในช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ จะเห็นว่ามีตัวเลขลดลง แต่เรายังไม่สามารถลดการ์ดลงได้ เรายังต้องยกการ์ดสูง เนื่องจากวันที่ 1 มิ.ย.จะมีมาตรการผ่อนคลายระยะ 3 และระยะถัดไป ดังนั้นความร่วมมือของประชาชนในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ เพื่อป้องกันการระบาดที่อาจจะเกิดขึ้นใหม่ได้" ผู้ช่วยโฆษก ศบค.ระบุ

ส่วนกรณีที่มีข้อกังวลต่อการนำคนไทยกลับจากต่างประเทศ หลังจากเริ่มพบว่าในระยะหลังการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นมักจะมาผู้ที่อยู่ใน State Quarantine นั้น พญ. พรรณประภา กล่าวว่า คนไทยในต่างประเทศมีความกังวลและต้องการกลับบ้าน เนื่องจากในหลายประเทศยังมีการระบาดอย่างมาก ดังนั้นการรับคนไทยกลับบ้านจึงเป็นสิ่งที่จะต้องทำเพื่อคนไทยด้วยกัน โดยนำเข้ามาดูแลในสถานกักกันที่มีมาตรฐานที่ดีในการดูแลรักษา และไม่ส่งผลกระทบต่อคนในประเทศ ซึ่งเชื่อว่าเมื่อคนไทยเหล่านี้ได้รับการดูแลรักษาจนหายดีแล้ว เขาเหล่านั้นก็จะกลับมาทำประโยชน์ให้ประเทศเหมือนกับที่ประเทศได้ดูแลเขาเป็นอย่างดีเช่นกัน

ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ยังย้ำถึงความร่วมมือของประชาชนในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดที่ยังจำเป็นต้องทำต่อไป แม้จะมีการผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 3 ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.เป็นต้นไป

"การมีมาตรการผ่อนปรน ก็เพื่อให้ประชาชนผ่อนคลาย มีความสุขในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ต้องเป็นวิถีชีวิตแบบใหม่ ก่อนหน้านี้ เราเหมือนดึงชักเย่อสู้กับโควิด เราดึงโดยใช้แรงมาก คือมีมาตรการอื่นๆ เป็นแรงดึงช่วยในการต่อสู้กับโควิด แต่เมื่อเราผ่อนคลายมาตรการจากระยะ 1 เข้าระยะที่ 2 และเข้าระยะที่ 3 การผ่อนคลายก็เหมือนการปล่อยมือ ดังนั้นมือที่เหลืออยู่ ต้องดึงด้วยแรงที่เพิ่มขึ้น และมือที่เหลืออยู่นี้ คือมือของประชาชนทุกคนที่จะดึงต่อสู้กับโควิด ด้วยการร่วมกันปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อ ทั้งสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง เป็นสิ่งที่เราจะร่วมมือกันได้ และผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน" พญ.พรรณประภากล่าว

Powered by Froala Editor

Powered by Froala Editor

Powered by Froala Editor

ข่าวที่คุณอาจสนใจ
TOP NEWS
  • TODAY
  • WEEK
  • MONTH